วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มะเร็งปากมดลูก เอชพีวี


ทีมงานซำบายเน็ตเวิร์ค

ส่วนหนึ่งของทีมงาน Miracle






มะเร็งปากมดลูก เอชพีวี (HPV : Human Papillomavirus)


มะเร็งปากมดลูก..สถิติที่เพิ่มขึ้นทุกวันของผู้หญิงทั่วโลก


มะเร็งปากมดลูก...โรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในผู้หญิงไทย โดยปัจจุบันมีสถิติของผู้เสียชีวิตเฉลี่ยสูงถึง 7 คนต่อวัน และเป็นมะเร็งที่ทำให้ผู้หญิงทั่วโลกเสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับ 3 มะเร็งปากมดลูก...ภัยเงียบที่อาจรู้เมื่อสายเกินไป
โดยไม่มีอาการ ไม่มีสัญญานใดๆ โรคร้ายนี้จะใช้เวลาประมาณ 5-10 ปี นับจากช่วงแรกที่เซลล์บริเวณปากมดลูก เริ่มมีอาการเปลี่ยนแปลงจนถึงระยะที่ภาวะของโรคอยู่ในระดับรุนแรงมากขึ้น 
ดังนั้น การตรวจภายในอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นวิธีการป้องกันตัวเองอย่างหนึ่ง และทำให้มีโอกาสรักษาที่หายขาดได้ถ้าหากมีการตรวจพบแบบเนิ่น ๆ


รู้ทัน เพื่อป้องกันต้วเองจากปากมดลูก


“มะเร็งปากมดลูก” ไม่ได้เกิดจากกรรมพันธ์ แต่มีสาเหตุสำคัญมาจากการติดเชื้อไวรัส ในทศวรรษที่ผ่านมา แพทย์และนักวิจัยได้พยายามศึกษาสาเหตุของโรคร้ายนี้ ที่ปัจจุบันได้คร่าชีวิตผู้หญิงทั่วโลกปีละกว่า 270,000 คน และได้ค้นพบว่า ประมาณ 99.7% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูก จะตรวจพบไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เอชพีวี (HAP: Human Papillomavirus) โดยไวรัสชนิดนี้ติดต่อง่ายผ่านสัมพันธ์รักกับคู่ของคุณ ซึ่งจากสถิติพบว่า วัยรุ่นช่วงอายุ 18-28 ปี มีสถิติการติดเชื้อ HPV มากที่สุด ตัวเชื้อไวรัสเองนั้นก็มีหลายสายพันธุ์เหมือนๆ กับ ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคอื่นๆ โดยสายพันธุ์ที่อันตรายคือ HPV 16,18,31และ45 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง HPV 16 และ 18 นั้น เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกประมาณ 70% นอกจากนี้ยังมีเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ เช่น HPV 6 และ 11 ที่เป็นสาเหตุหลัก 90% ของการเกิดโรคหูดอวัยวะเพศ (หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ) ซึ่งโรคนี้ถึงแม้จะรักษาได้แต่ก็มักจะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำๆ อีกครั้ง


วันนี้...ผู้หญิงเลือกได้ที่จะไม่เสี่ยง


การเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากมะเร็งปากมดลูกหรือลดโอกาสเสี่ยงจากการติดเชื้อเอชพีวี เป็นเรื่องสำคัญของผู้หญิงยุคนี้โดยมีข้อแนะนำที่ทำง่ายๆ คือ


หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย
ไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ หรือมีคู้นอนหลายคน
ควรจะให้ความสำคัญกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่เรียกว่า แป็ปสเมียร์ (Pap smear)
ปัจจุบันสามารถทำได้สะดวกรวดเร็ว โดยควรที่จะได้รับการตรวจเป็นประจำทุกๆ ปี เพื่อให้เราทราบว่า เซลล์บริเวณปากมดลูก มีลักษณะเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติหรือไม่ เพราะการรักษาในระยะก่อนเป็นมะเร็ง จะทำให้มีโอกาสหายขาดได้ค่อนข้างสูง ในขณะที่การรักษาในระยะลุกลามนั้นจะรักษายากและทำให้มีโอกาสเสียชีวิตมากขึ้น 


นวัตกรรมเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูกชัยชนะของผู้หญิงทั้งโลก


ความสำเร็จจากการค้นพบสาเหตุ ได้นำมาสู่การพัฒนาและวิจัยในส่วนของภูมิคุ้มกัน ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 70% ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อเอชพีวีในสายพันธุ์ที่สำคัญ รวมทั้งป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคหูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศอีกด้วย


ประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อเอชพีวีได้หลายสายพันธุ์ ทำให้ภูมิคุ้มกันมะเร็งปากมดลูกนี้ได้รับการยอมรับและผ่านการอนุมัติการใช้แล้วกว่า 70 ประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศในยุโรปรวมทั้งประเทศต่างๆ ในแถบเอเชีย ได้แก่ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย และ สิงค์โปร์ นอกจากนี้ในประเทศชั้นนำอย่างออสเตรเลียและบางรัฐของสหรัฐอเมริกา ยังได้ประกาศให้ภูมิคุ้มกันนี้ เป็นภาคบังคับสำหรับเด็กหญิงในช่วงอายุ 9-26 ปี ถึงแม้ว่าจะมีนวัตกรรมที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกแล้ว การตรวจ แป๊ปสเมียร์ อย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นเรื่องที่สูติ-แพทย์ ยังคงแนะนำให้ปฏิบัติอยู่ เพราะการป้องกันดังกล่าว สามารถควบคุมเฉพาะในส่วนของเชื้อเอชพีวีสายพันธ์ที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งปากมดลูกในขณะที่เรายังมีโอกาสติดเชื้อเอชพีวีในสายพันธุ์อื่นๆ ที่มีผลต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก


คำถามที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับ...วัคซีนเอชพีวี


การฉีดวัคซีนเอชพีวีมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยอย่างไรบ้าง


จากการศึกษาในอาสาสมัครสตรีมากกว่า 20,000 รายที่ยังไม่เคยติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 มาก่อน พบว่าการฉีดวัคซีนเอชพีวีมีประสิทธิภาพสูงมากในการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่นำมาทำวัคซีน และสามารถป้องกันความผิดปกติของเซลล์ปากมดลูกที่จะเกิดขึ้นจากเชื้อดังกล่าวก่อนที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกได้สูงถึงร้อยละ 100 สำหรับในด้านความปลอดภัยนั้น พบว่าการฉีดวัคซีนเอชพีวีมีความปลอดภัยสูง ไม่พบอาการข้างเคียงที่รุนแรง อาการที่พบได้บ่อยคือ อาการปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีดยาซึ่งไม่รุนแรงและหายไปได้เอง


สตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้วจะฉีดวัคซีนเอชพีวีได้หรือไม่
การฉีดวัคซีนเอชพีวีจะได้ผลดีที่สุดถ้าปากมดลูกยังไม่มีการติดเชื้อเอชพีวี ซึ่งส่วนใหญ่ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ ถ้ามีเพศสัมพันธ์แล้วและยังไม่มีการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 ก็จะได้รับประโยชน์เต็มที่จากการฉีดวัคซีนเอชพีวี แต่ถ้ามีการติดเชื้อเอชพีวีทั้ง 2 สายพันธุ์ แล้วจะไม่ได้ประโยชน์จากการฉีดวัคซีนเอชพีวี 
อย่างไรก็ตามจากการศึกษาความชุกของการติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 ในสตรีอายุ 14-72 ปี จำนวนมากกว่า 20,000 ราย พบว่า สตรีที่ติดเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ 16 และ 18 ที่ปากมดลูกมีน้อยกว่า 1% ดังนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์แล้ว ส่วนใหญ่ก็ยังได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีนเอชพีวีในการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวี สายพันธุ์ 16 และ/หรือ 18


ทำไมวัคซีนเอชพีวี ไม่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์


วัคซีนเอชพีวีที่มีใช้อยู่สามารถป้องกันการติดเชื้อและรอยโรคก่อนมะเร็งที่เกิดจากเชื้อเอชพีวีมสายพันธุ์ 16 และ 18 ได้สูงถึงร้อยละ 100 แต่เชื้อดังกล่าวเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกเพียงร้อยละ 70 จึงมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกได้จากเชื้อเอชพีวีที่เหลืออีกร้อยละ 30 ดังนั้นหลังจากฉีดวัคซีนเอชพีวีแล้วจึงจำเป็นต้องมารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยแพบสเมียร์อยู่


จำเป็นต้องวัดภูมิคุ้มกัน ภายหลังจากการฉีดวัคซีนหรือไม่ ?


ไม่จำเป็น เพราะจากการศึกษาอาสาสมัครประมาณ 1,000 คน ที่ได้รับวัคซีนครบ 3 ครั้ง พบว่ามีการสร้างภูมิคุ้มกันทุกราย อีกทั้งในขณะนี้ยังไม่มีชุดตรวจวัดระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเอชพีวีที่สามารถทำได้ในโรงพยาบาลทั่วไป


จะทราบได้อย่างไรว่าร่างกายมีการติดเชื้อเอชพีวีแล้วหรือยัง


สตรีที่ติดเชื้อเอชพีวี จะไม่มีอาการผิดปกติไม่มีไข้หรือตกขาว การติดเชื้อส่วนใหญ่หายได้เอง จะมีเพียงส่วนน้อยที่เป็นการติดเชื้อแบบฝังแน่นเรื้อรัง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินโรคมะเร็งปากมดลูก ขณะนี้ในทางการแพทย์ยังไม่ทราบว่า สตรีที่ติดเชื้อรายใดจะดำเนินโรคเป็นมะเร็งปากมดลูกในอนาคต ดังนั้นสตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้วทุกรายจึงควรได้รับการป้องกันมะเร็งปากมดลูก สำหรับการตรวจหาเชื้อเอชพีวีก่อนฉีดวัคซีน นั้นไม่มีความจำเป็นเพราะการตรวจไม่สามารถระบุได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าการติดเชื้อนั้นจะเป็นแบบฝังแน่นเรื้อรังที่จะกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้


จะฉีดวัคซีนก่อนแต่งงาน หากฉีดวัคซีนเอชพีวีแล้วจะมีผลในการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีทันหรือไม่ หรือจะต้องรอฉีดให้ครบ 3 เข็มก่อน


หากจะมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ฉีดวัคซีนเอชพีวี ควรใช้ถุงยางนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีและป้องกันการตั้งครรภ์ ในช่วงที่ฉีดวัคซีนเอชพีวีไม่ควรตั้งครรภ์ควรรอฉีดให้ครบ 3 เข็มไปแล้วอย่างน้อย 1 เดือน


การฉีดวัคซีนเอชพีวี จะช่วยป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้นานเท่าไร
จากข้อมูลที่มีอยู่จนถึงปัจจุบันพบว่า การฉีดวัคซีนเอชพีวีทำให้ร่างกายมีระดับภูมิคุ้มกันสูงมาก สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีและรอยโรคก่อนมะเร็งปากมดลูกได้นานอย่างน้อย 5 ปีครึ่ง ระดับภูมิคุ้มกันที่มีอยู่สูงกว่าระดับภูมิคุ้มกันจากการติดเชื้อเอชพีวีตามธรรมชาติมาก ดังนั้นหลังจากฉีดวัคซีนครบ 3 เข็ม (ในช่วงเวลา 6 เดือน) จึงไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำที่ 5 ปี ระดับภูมิคุ้มกันจะคงอยู่นานเท่าไรนั้นจะต้องติดตามดูต่อไป


“สิ่งที่ควรทราบคือ การติดเชื้อเอชพีวีตามธรรมชาตินั้นไม่สามารถกรุตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ทุกคน และระดับภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นก็ต่ำกว่าการฉีดวัคซีนเอชพีวีมาก อาจจะไม่เพียงพอสำหรับการป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีในอนาคต”


ศิริราช เผยหญิงไทยป่วยมะเร็งปากมดลูก 6 พันราย/ปี ตาย 2.6 พันราย พบในอายุน้อยลงเรื่อยๆ
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จากคุณ รวมกองบุญ














คลิ๊ก!!เพื่อดูรายละเอียด

No54-178 วิธีการสร้างเงิน 5 ล้านภายใน 1 ปี
http://sumby-network.blogspot.com/2011/05/blog-post_9863.html


ติดตามตารางบรรยายทั่วไทยที่



สนใจร่วมธุรกิจติดต่อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น